มีเวลาหยุดเพียงวันเดียวก็เที่ยวได้ ครั้งนี้มีทัวร์มั้ยจะพาไปเดินเที่ยวกรุงเทพกันที่ย่านเยาวราช ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยศาลเจ้า วัดมากมายแล้ว ยังมีร้านอาหารให้เลือกอิ่มอร่อยกันแบบตลอดเส้นทาง และนี่คือ 10 พิกัด เยาวราช ต้องเช็คอิน วันหยุดหน้าอย่าลังเล ตามไปเที่ยวกันเลย
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งใจบอกเรื่องราวของชาวจีนโพ้นทะเลที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และต่อมาได้สร้างความรุ่งเรืองบนถนนสายทองคำบนผืนแผ่นดินไทย โดยพยายามแสดงให้ผู้เข้าชมทราบถึงความรู้เบื้องต้นของชุมชนชาวจีนในสำเพ็งและเยาวราช จนกระทั่งกลายเป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ภายในวัดไตรมิตรวิทยารามยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าซึ่งต้องหาโอกาสมากราบไหว้ขอพร นั่นคือ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ หลวงพ่อทองคำ ซึ่งมีความงดงามและเป็นพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าเฉพาะเนื้อทองคำสูงถึง 21.1 ล้านปอนด์
วงเวียนโอเดียน ตั้งอยู่ตรงจุดตัดถนนเจริญกรุง ถนนเยาวราช และถนนมิตรภาพไทย-จีน วงเวียนแห่งนี้เดิมเป็นวงเวียนน้ำพุ สร้างขึ้นสมัยจอมพลประภาส จารุเสถียร ปัจจุบันปรับปรุงเป็นซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 จนเป็นสัญลักษณ์ของไชน่าทาวน์
ซุ้มประตูออกแบบโดยช่างชาวจีน ยอดหลังคาซุ้มประกอบด้วยมังกร 2 ตัว ชูตราสัญลักษณ์ “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542” และทองคำหนักบริสุทธิ์หนัก 99 บาท หุ้มพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. หมายถึง ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เทิดทูนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไว้เหนือเกล้า
นอกจากนี้ใต้หลังคาซุ้มประตูยังเป็นแผ่นจารึกนามซุ้มประตูที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยจารึกเป็นภาษาไทยด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จารึกอักษรจีน “เซิ่ง โช่ว อู๋ เจียง” หมายถึง “ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” พร้อมนามาภิไธย “สิรินธร” โดยตั้งตระหง่าน งามสมเป็นประตูสู่ไชน่าทาวน์
ร้านเก่าแก่เปิดมายาวนานกว่า 80 ปี ย่านเยาวราช ในทุกๆวัน จะมีผู้สูงอายุมานั่งจิบกาแฟกันที่นี่ เหมือนเป็นที่พบปะสังสรรค์ โต๊ะและเก้าอี้ภายในร้านจะเป็นไม้สีเข้มดูแข็งแรงและเพิ่มมนต์ขลัง นับเป็นเสน่ห์ที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน กาแฟของที่นี่มีสโลแกนว่า “คั่วสดๆ ชงใหม่ๆ วันต่อวัน”
ตึกพิพิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นตึกเจ็ดชั้นออกแบบโดยสถาปนิกชาวฮอลันดา แต่ภายในตกแต่งและใช้เฟอร์นิเจอร์แบบจีน พิพิธภํณฑ์ตั้งอยู่บนชั้น 6 แม้จะไม่ได้เป็นห้องขนาดใหญ๋โต แต่ก็เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือในการทำทอง เช่น แม่พิมพ์ในการปั๊มทอง ตราชั่งไม้โบราณ ไหน้ำกรดที่ใช้เก็บน้ำกรดเพื่อใช้ในการสกัดทองคำบริสุทธิ์
นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือประเภทปากคีบ คีมหนีบ ค้อน ตะไบ กรรไกร ฯลฯ ที่ใช้สำหรับทำลวดลายของทอง เบ้าหลอมทอง แท่นตีทอง และมีเตาต้มทองซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำทอง
“ไท้เฮง” เป็นภัตตาคารที่เริ่มเปิดขายบนถนนเยาวราชมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2463 ซึ่งในช่วงเวลานั้นถือได้ว่าเป็นภัตตาคารแห่งแรกที่ขายข้าวมันไก่และสุกี้ยากี้แบบไหหลำที่ใช้เตาถ่าน
โดยเฉพาะสุกี้ยากี้จะมีเครื่องปรุงรสคือน้ำหมักที่คลุกเคล้าอยู่ในเนื้อสัตว์และผักที่รวมกันอย่างลงตัว ประกอบกับน้ำจิ้มที่เป็นสูตรเฉพาะ ซึ่งทำให้ยังคงเป็นตำนานความอร่อยของข้าวมันไก่และสุกี้ยากี้บนถนนเยาวราชจนถึงปัจจุบัน
เดิมชื่อวัดย่งฮกอำ คาดว่าสร้างโดยชาวจีนในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาพระอาจารย์สงเห็งได้ปฏิสังขรณ์วิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “ย่งฮกยี่” ในราวปี พ.ศ.2430 แล้วกราบบังคมทูลขอพระราชทานนามวัดจากรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดบำเพ็ญจีนพรต” ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในประเทศก็ว่าได้ แต่มีพระสงฆ์จีนจำพรรษาอยู่
อุโบสถมีขนาดเล็ก พื้นที่กว้างสุดเพียง 7.80 เมตร ยาว 10.20 เมตร เป็นอาคารโครงสร้างไม้แบบจีน ผนังก่ออิฐฉาบปูน หลังคาจั่วมุงด้วยกระเบื้องดินเผากาบกล้วยแบบจีน และเป็นที่ประดิษฐานองค์พระประธานสำคัญๆ มากมาย
วัดนี้สร้างขึ้นในปลายรัชกาลที่ 4 โดยนางกลีบ สาครวาสี ได้อุทิศสวนดอกไม้สร้างเป็นวัดขึ้น ต่อมาบุตรของนางกลีบ คือพระดรุณรักษา (กัน สาครวาสี) ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว นางกลีบได้น้อมเกล้าฯ ถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดกันมาตุยาราม” อันหมายถึง วัดที่มารดาของนายกันเป็นผู้สร้าง
บริเวณวัดแห่งนี้ค่อนข้างแคบ มีปูชนียสถานสำคัญคือเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบลังกา สร้างเลียนแบบธัมเมกขสถูปในประเทศอินเดีย และในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวพุทธประวัติ
เป็นวัดจีนสังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย ชื่อวัดได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 วัดนี้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2414 ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบทางจีนตอนใต้ของสกุลช่างแต้จิ๋ว โดยวางแปลนตามแบบวัดหลวง คือมีวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก ตรงกลางเป็นพระอุโบสถ ข้างหลังพระอุโบสถเป็นวิหารเทพเจ้า การสร้างใช้ไม้และอิฐเป็นวัสดุสำคัญ
จากประตูทางเข้าถึงวิหารท้าวจุโลกบาล จะเห็นเทพเจ้า 4 องค์ในชุดนักรบจีน (ข้างละ 2 องค์) ชาวจีนเรียกว่า “ซี้ไต๋เทียงอ้วง” หมายถึงเทพเจ้าที่ปกปักษ์รักษาคุ้มครองทิศต่างๆ ทั้ง 4 ทิศ ถัดจากวิหารท้าวจตุโลกบาลคือพระอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระประธานของวัด คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภพุทธเจ้า พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ทั้งหมด 3 องค์ นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าอื่นรวมทั้งหมด 58 องค์
สร้างโดยชาวจีนแต้จิ๋วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ภายในวัดก่อสร้างด้วยศิลปะจีนแบบแต้จิ๋ว เสาเป็นรูปทรงเม็ดข้าวแบบปล่องตรงกลางนิดๆ พันรอบด้วยมังกรตัวยาว นอกจากนั้นยังตกแต่งสถานที่ด้วยวัตถุโบราณล้ำค่าหาดูได้ยาก
มีระฆังโบราณสำคัญใบหนึ่งสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ของสำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือกระถางธูปที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะแห่งนี้มีผู้คนเดินทางมาขอพรมากมาย โดยเฉพาะขอพรจากเทพเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะฮูหยิน และทหารเอกหอเฮียฮ้วง ซึ่งเป็นปรมาจารย์เรื่องตี้ลี่ฮวงจุ้ยและการทำนายทายทัก เหมาะสำหรับนักเดินทางและผู้ที่ต้องการที่พักอาศัย
มูลนิธิเทียนฟ้า ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2445 เป็นมูลนิธิแห่งแรกในประเทศไทย โดยการรวมตัวกันของกลุ่มชาวจีน 5 ภาษา เพื่อสงเคราะห์ผู้ป่วยที่ยากไร้ให้ได้รับการรักษาพยาบาล มีทั้งการรักษาแบบแผนปัจจุบันและแผนจีน
ภายในมูลนิธิแห่งนี้มีศาลรูปเคารพของเจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางประธานพร ประดิษฐานเป็นเทพเจ้าองค์ประธาน ผู้คนนิยมมาขอพรให้ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ให้มีสุขภาพแข็งแรง องค์ทำด้วยไม้จันทน์แกะสลัก รูปแบบศิลปะราชวงศ์ถัง แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์ซ่งหรือเมื่อประมาณ 800–900 ปีที่ผ่านมา และในปี พ.ศ.2501 ได้ถูกอัญเชิญมาจากประเทศจีน ประดิษฐานอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน
ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่เที่ยว
https://www.facebook.com/metourmice
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก คุณAichan (Travel.trueid)